ประเภทของคำในภาษาอาหรับ
ภาษาอาหรับแบ่งคำออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. คำนาม (الإسم) คือ คำที่บ่งชี้ถึงคน สัตว์ สิ่งของ เช่น นายมุฮัมหมัด เสือ ก้อนหิน ปากกา เป็นต้น
2. คำกริยา (الفعل) คือ คำที่แสดงออกถึงการกระทำ เช่น ตื่นนอน กิน ดื่ม เป็นต้น
3. คำเชื่อม (الحرف) คือ คำที่นอกเหนือจากคำนามและคำกริยา เช่น จาก ใน เหมือนดั่ง หรือ หาก อะไร เป็นต้น
ภาษาอาหรับแบ่งคำออกเป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. คำนาม (الإسم) คือ คำที่บ่งชี้ถึงคน สัตว์ สิ่งของ เช่น นายมุฮัมหมัด เสือ ก้อนหิน ปากกา เป็นต้น
2. คำกริยา (الفعل) คือ คำที่แสดงออกถึงการกระทำ เช่น ตื่นนอน กิน ดื่ม เป็นต้น
3. คำเชื่อม (الحرف) คือ คำที่นอกเหนือจากคำนามและคำกริยา เช่น จาก ใน เหมือนดั่ง หรือ หาก อะไร เป็นต้น
ข้อแตกต่างระหว่างโครงสร้างประโยคในประโยคภาษาอาหรับและภาษาไทย
เราจะสังเกตเห็นถึงข้อแตกต่างหลายประการระหว่างภาษาไทยและภาษาอาหรับ อาทิเช่น ภาษาอาหรับมีระบบการเขียนจากขวามาซ้าย ภาษาอาหรับมีสระท้ายกำกับคำที่สามารถบ่งชี้ถึงหน้าที่ของคำในประโยคนั้นๆ นอกจากนั้นแล้วโครงสร้างประโยคพื้นฐานทั่วไปในภาษาอาหรับก็ยังมีความแตกต่างจากภาษาไทยด้วยเช่นกัน โดยรูปประโยคอาหรับมักเริ่มต้นด้วยคำกริยา + ประธาน + กรรม ซึ่งในภาษาไทยมีการลำดับคำในประโยค ประธาน + กริยา และกรรม
ในประโยคภาษาไทยพูดว่า “สมชายกินข้าว” แต่ในภาษาอาหรับมักเรียงลำดับคำในประโยค “กินสมชายข้าว” อีกทั้งยังมีข้อแตกต่างทางด้านไวยากรณ์อยู่มากมาย ซึ่งหนึ่งในข้อแตกต่างสำคัญดังกล่าวที่มักพูดถึง นั่นก็คือ การบ่งบอกสภาพของคำต่าง ๆ ที่อยู่ในรูปประโยคหรือที่ภาษาอาหรับ เรียกว่า “การเอี๊ยะอฺร็อบ” นั่นเอง
การบ่งบอกสภาพ (การเอี๊ยะอฺร็อบ) ของคำในประโยคพื้นฐานภาษาอาหรับแบ่งออกเป็น 4 สภาพ ดังต่อไปนี้
1. สภาพร็อฟอฺ หรือรุฟูอฺ (حالة الرفع) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพร็อฟอฺจะมีเครื่องหมายสระฎ็อมมะห์ ُ() หรือฎ็อมมะห์ตันวีน (สระฎ็อมมะห์ซ้อน) กำกับไว้ท้ายคำ ซึ่งคำส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นประธานในประโยค สังเกตได้จากตัวอย่างประโยค
2. สภาพนัศบฺ หรือนะศ็อบ (حالة النصب) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพนัศบฺจะมีเครื่องหมายสระฟัตหะฮฺ หรือฟัตหะฮฺตันวีน (สระฟัตหะห์ซ้อน) กำกับไว้ท้ายคำ ซึ่งคำส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นกรรมการก ในประโยค สังเกตได้จากตัวอย่างประโยค
3. สภาพญัรร์ หรือมัจญฺรูร (حالة الجر) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพญัรรฺจะมีเครื่องหมายสระกัสเราะห์กำกับไว้ท้ายคำ
4. สภาพญัซมฺ หรือญะซัม (حالة الجزم) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพญัซมฺจะมีสระสุกูน ฎ็อมมะห์ ฟัตหะฮฺ หรือกัสเราะห์ แต่หากคำนั้นเป็นคำบังคับบินาอฺ (คำที่ไม่สามารถแปลงรูปสระท้ายได้) ก็จะยังคงสระเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น คำกริยาอดีตกาล จะจัดอยู่ในสภาพบินาอฺด้วยสระฟัตหะฮฺเสมอ เช่น كتب درس، لعب، เป็นต้น
😊😊
เราจะสังเกตเห็นถึงข้อแตกต่างหลายประการระหว่างภาษาไทยและภาษาอาหรับ อาทิเช่น ภาษาอาหรับมีระบบการเขียนจากขวามาซ้าย ภาษาอาหรับมีสระท้ายกำกับคำที่สามารถบ่งชี้ถึงหน้าที่ของคำในประโยคนั้นๆ นอกจากนั้นแล้วโครงสร้างประโยคพื้นฐานทั่วไปในภาษาอาหรับก็ยังมีความแตกต่างจากภาษาไทยด้วยเช่นกัน โดยรูปประโยคอาหรับมักเริ่มต้นด้วยคำกริยา + ประธาน + กรรม ซึ่งในภาษาไทยมีการลำดับคำในประโยค ประธาน + กริยา และกรรม
ในประโยคภาษาไทยพูดว่า “สมชายกินข้าว” แต่ในภาษาอาหรับมักเรียงลำดับคำในประโยค “กินสมชายข้าว” อีกทั้งยังมีข้อแตกต่างทางด้านไวยากรณ์อยู่มากมาย ซึ่งหนึ่งในข้อแตกต่างสำคัญดังกล่าวที่มักพูดถึง นั่นก็คือ การบ่งบอกสภาพของคำต่าง ๆ ที่อยู่ในรูปประโยคหรือที่ภาษาอาหรับ เรียกว่า “การเอี๊ยะอฺร็อบ” นั่นเอง
การบ่งบอกสภาพ (การเอี๊ยะอฺร็อบ) ของคำในประโยคพื้นฐานภาษาอาหรับแบ่งออกเป็น 4 สภาพ ดังต่อไปนี้
1. สภาพร็อฟอฺ หรือรุฟูอฺ (حالة الرفع) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพร็อฟอฺจะมีเครื่องหมายสระฎ็อมมะห์ ُ() หรือฎ็อมมะห์ตันวีน (สระฎ็อมมะห์ซ้อน) กำกับไว้ท้ายคำ ซึ่งคำส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นประธานในประโยค สังเกตได้จากตัวอย่างประโยค
أكل محمدُ رزا
คำว่า “มุฮัมหมัด” ตกอยู่สภาพร็อฟอฺในประโยคหรือเป็นประธานของประโยค2. สภาพนัศบฺ หรือนะศ็อบ (حالة النصب) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพนัศบฺจะมีเครื่องหมายสระฟัตหะฮฺ หรือฟัตหะฮฺตันวีน (สระฟัตหะห์ซ้อน) กำกับไว้ท้ายคำ ซึ่งคำส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นกรรมการก ในประโยค สังเกตได้จากตัวอย่างประโยค
أكل محمد رزًا
คำว่า “ข้าว” ตกอยู่สภาพนัศบฺในประโยคหรือเป็นกรรมของประโยค3. สภาพญัรร์ หรือมัจญฺรูร (حالة الجر) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพญัรรฺจะมีเครื่องหมายสระกัสเราะห์กำกับไว้ท้ายคำ
أكل محمد رزا في بيتٍ
คำว่า “ในบ้าน” ตกอยู่สภาพญัรรฺในประโยคหรือส่วนขยายของประโยค ซึ่งคำส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นสัมพันธการกและหลังคำบุพบทในประโยค 4. สภาพญัซมฺ หรือญะซัม (حالة الجزم) คำในประโยคที่อยู่ในสภาพญัซมฺจะมีสระสุกูน ฎ็อมมะห์ ฟัตหะฮฺ หรือกัสเราะห์ แต่หากคำนั้นเป็นคำบังคับบินาอฺ (คำที่ไม่สามารถแปลงรูปสระท้ายได้) ก็จะยังคงสระเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น คำกริยาอดีตกาล จะจัดอยู่ในสภาพบินาอฺด้วยสระฟัตหะฮฺเสมอ เช่น كتب درس، لعب، เป็นต้น
😊😊